
สายลำโพงหรือ Speaker cable คือสายนำไฟฟ้าที่ต่อระหว่าง Power Amplifier หรือเครื่องขยายเสียง
ไปยัง Loudspeaker หรือลำโพงนั้นเองสายลำโพงจะประกอบไปด้วยขั้วบวก(มักจะเป็นสีแดง) และขั้วลบ
(มักจะเป็นสีดำ)
วัสดุส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ทำสายลำโพงมักจะเป็นทองแดงหรือชุบเงินซึ่งทำให้
เสียงมีความชัดและสดขึ้นครับ
ดูเผินๆแล้วสายลำโพงเหมือนจะไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนแต่จริงๆแล้ว
มีอะไรที่มากกว่าขั้วบวกและลบครับ
โดยทั่วไปแล้วสายที่วางขายกันทั้งที่ราคาแพงระดับไฮเอ็นด์(เป็นแสน) จน
ถึงสายลำโพงที่ตัดแบ่งขายตามบ้านหม้อราคามีตั้งแต่เมตรละไม่กี่บาทจนถึง
เมตรละเป็นพันบาทจะให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมา
ใช้

ตัวอย่างสายที่แบ่งขาย
สาย
ลำโพงโดยทั่วไปที่เห็นในท้องตลาดส่วนใหญ่มักจะเป็นสายฝอยฟั่นเกลียว(สายแบบ
นี้มีให้เห็นมากที่สุด) สายแบนบาง (ทางผู้ผลิตอ้างว่าสัญญาณเดินทางได้เร็ว)
และสายถัก (จะให้อิมเมจที่นิ่งและมีตัวตน)
ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมีเทคนิคที่ต่างกัน
เพื่อที่จะได้ค่าทางไฟฟ้าที่สวยหรูไม่ว่าจะเป็นค่าตัวต้านทาน
R : Resistance ค่าความจุไฟฟ้า C : Capacitance รวมถึงค่าเหนี่ยวนำไฟฟ้า L : Inductance ซึ่งค่าเหล่านี้จะเป็นตัวกำนดเสียง ในการผลิตสายลำโพงนอกจากลวดทองแดงแล้ว ยังประกอบไปด้วยเทคนิคการชีลด์ (Shild) ซึ่งวัสดุที่ใช้หุ้มสายต้อง สามารถป้องกันสัญญาณความถี่ที่รบกวนอยู่ตามอากาศเพื่อความเงียบสงัด
นอก
จากสายฝอยฟั่นเกลียวที่มีในท้องตลาดแล้ว ยังมีสายประเภทสายแกนเดี่ยว
(ซึ่งไม่ค่อยเห็นในสายคอมเมอร์เชียลหรือสายที่ขายเชิงพาณิชย์มากนัก)
อาจจะเป็นเพราะว่าสายแบบแกนเดี่ยวมักจะให้เสียงที่คมจัดมากกว่า
ส่วนตัวนำของสายลำโพงที่นิยมกันคือสายทองแดงปราศจากอ๊อกซิเจนแบบ OFC ซึ่งทำให้การไหลของสัญญาณเสียงจะลื่นไหลกว่าสายทองแดงแบบธรรมดา

สายลำโพงแบบ Single wire จะ
เป็นสายแบบรูปด้านล่าง คือสายที่นิยมใช้กันมากที่สุด
ด้วยราคาที่ไม่สูงมากนักตัวสายจะมีลวดทองแดงอยู่ สองเส้นคือขั้วบวก+ และลบ-
ปกติสายทุกเส้นจะมีบุคลิกของสายเองอยู่แล้วการเลือกสายพวกนี้คือถ้าสายให้
เสียงแหลมที่ดีอยู่แล้วถ้านำมาใส่ใน System ที่มีเสียงทุ้มแต่ยังขาดเสียงแหลมจะเหมาะสมกันและ กลับกันถ้าสายให้เสียงทุ้มที่ดีอยู่แล้วถ้านำมาใส่ใน System ที่มีเสียงแหลมแต่ยังขาดเสียงทุ้มจะเหมาะสมกันซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคย่างหนึ่งในการเลือกสายมาใช้งาน

สายลำโพงแบบ Single wire
สายลำโพงแบบ Biwire จะเป็นสายแบบรูปด้านล่าง คือสายที่นิยมใช้ในกลุ่มเฉพาะนักเล่นเครื่องเสียงที่พิถีพิถัน
เรื่อง
เสียงเป็นอย่างมาก
จากบุคลิกของสายที่ได้กล่าวไว้แล้วด้านบนแล้วว่าสายในแต่ละเส้นนั่นให้เสียง
ที่ต่างกันจึงเป็นที่มาของการต่อแบบ Biwire ซึ่งการต่อแบบ Biwire นั้นจะใช้ลวดทองแดงที่มีอยู่ด้วยกันสองชุดคือ ขั้วบวก + สองชุด และลบ – สองชุด

0 comments:
Post a Comment